ทำความรู้จักกับ Jbolt, Lbolt, Anchor bolt, Ubolt ให้มากขึ้น ก่อนนำไปใช้งาน

 

สลักเกลียว (Anchor Bolt) ที่ใช้ยึดโครงสร้างพร้อมปูนหรือคอนกรีต เป็นส่วนสำคัญในการสร้างฐานรากที่มั่นคงและปลอดภัยสำหรับโครงสร้างต่างๆ เช่น เสาอาคาร, โครงหลังคา, แผงโซลาร์เซลล์ หรือเครื่องจักรขนาดใหญ่

 

ประเภทของสลักเกลียวที่นิยมใช้กับปูนหรือคอนกรีต:

  1. L Bolt (สลักเกลียวตัว L)
    • ลักษณะ: ปลายโบลต์มีรูปตัว L
    • การใช้งาน: ฝังในปูนเพื่อป้องกันการหลุดจากแรงดึงหรือน้ำหนักที่โครงสร้างถ่ายลงฐานราก
    • เหมาะสำหรับ: เสาไฟ, เสาโครงสร้างอาคาร, โครงเหล็กขนาดใหญ่
  2. J Bolt (สลักเกลียวตัว J)
    • ลักษณะ: ปลายโบลต์มีรูปตัว J
    • การใช้งาน: ลักษณะคล้าย L bolt แต่เหมาะกับโครงสร้างที่ต้องการการล็อกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
  3. Straight Anchor Bolt หรือ Ibolt (สลักเกลียวตรง)
    • ลักษณะ: เป็นแกนเหล็กตรงที่มีเกลียวสำหรับขันน็อต
    • การใช้งาน: ใช้คู่กับแผ่นเพลตหรือพุกเคมีสำหรับยึดในคอนกรีต
    • เหมาะสำหรับ: งานโครงสร้างทั่วไปที่ต้องการความเรียบง่าย
  4. Chemical Anchor Bolt (สลักเกลียวพร้อมพุกเคมี)
    • ลักษณะ: ใช้สารเคมีชนิดพิเศษ (resin) ร่วมกับสลักเกลียว
    • การใช้งาน: ใช้ฝังสลักเกลียวในปูนหรือคอนกรีตที่เซตตัวแล้ว
    • เหมาะสำหรับ: งานซ่อมแซม, การติดตั้งโครงสร้างใหม่ในฐานรากเดิม
  5. Expansion Anchor Bolt (สลักเกลียวแบบขยายตัว)
    • ลักษณะ: มีปลอกโลหะที่ขยายตัวเมื่อติดตั้ง
    • การใช้งาน: ยึดในปูนหรือคอนกรีตสำเร็จรูปโดยไม่ต้องเทปูนใหม่
    • เหมาะสำหรับ: งานที่ต้องการติดตั้งอย่างรวดเร็ว
  6. U Bolt (สลักเกลียวตัวยู)
    • ลักษณะ: มีลักษณะเป็นตัวยู ใช้ยึดโครงสร้างทรงกลม เช่น ท่อหรือเสา
    • การใช้งาน: ใช้ยึดกับฐานที่เป็นปูนหรือคอนกรีต

ปัจจัยในการเลือกสลักเกลียวสำหรับปูนหรือคอนกรีต:

ความแข็งแรงของโครงสร้าง

เลือกวัสดุที่ทำจากเหล็กโดยสามารถใช้เหล็กทั้งเหล็กเพลาดำ เพลาขาว เหล็กเส้น หรือ เหล็กข้ออ้อย โดยก่อนใช้งานทุกครั้ง วิศวกรต้องคำนวณการรับแรงให้เหมาะกับแต่ละโครงสร้างที่จะสร้าง เพื่อให้เกิดความแข็งแรง ปลอดภัย

 

เหล็กเพลา (Carbon Steel Round Bar) แบ่งเป็น เหล็กเพลาดำ เหล็กเพลาขาว มีข้อแตกต่างกันดังนี้ 

เหล็กเพลาดำ และ เหล็กเพลาขาว เป็นเหล็กประเภทเพลา (Shaft Steel) ที่นิยมนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมและงานก่อสร้าง แต่มีคุณสมบัติและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้:

 

เหล็กเพลาดำ (Black Steel Round Bar)

ลักษณะ:

      • มีพื้นผิวภายนอก สีดำด้าน ซึ่งเกิดจากคราบออกไซด์ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการรีดร้อน (Hot Rolled Process)
      • ผิวภายนอกไม่เรียบเนียน อาจมีรอยขรุขระหรือคราบสนิมเบา ๆ เกาะอยู่

คุณสมบัติ:

      • ความแข็งแรง: มีความแข็งแรงดี รองรับแรงกระแทกและแรงกดได้ดี
      • ความแม่นยำ: มีความคลาดเคลื่อนในขนาด (Tolerance) สูงกว่าเพลาขาว ทำให้ไม่ได้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง
      • ราคา: ราคาถูกกว่าเพลาขาว เนื่องจากผ่านกระบวนการผลิตที่ง่ายกว่า

การใช้งาน:

      • เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่ไม่ต้องการความละเอียดในขนาด เช่น
        • ทำชิ้นส่วนเครื่องจักร
        • งานโครงสร้างที่ไม่ต้องการความละเอียดมาก
        • ใช้ในงานเชื่อมหรือตัดต่อเพื่อลดต้นทุน

เหล็กเพลาขาว (Bright Steel Round Bar)


รับผลิต jbolt ,Lbolt, Ibolt, Anchor bolt, Ubolt

ลักษณะ:

      • มีพื้นผิวภายนอก สีเงินเงา หรือเรียบเนียน เป็นผลจากกระบวนการรีดเย็น (Cold Drawn Process) หรือการเจียรผิว (Grinding) เพื่อให้มีผิวเรียบและขนาดแม่นยำ
      • ผิวมีความเงางามและไม่มีคราบสนิมหรือคราบออกไซด์

คุณสมบัติ:

      • ความแม่นยำสูง: มีค่า Tolerance ต่ำ (คลาดเคลื่อนในขนาดน้อยมาก) เหมาะกับงานที่ต้องการความละเอียด
      • ผิวเรียบเนียน: สามารถนำไปใช้งานได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านการตกแต่งผิวเพิ่มเติม
      • ความแข็งแรง: มีความแข็งแรงพอสมควร แต่ไม่เท่ากับเพลาดำในงานที่ต้องรับแรงกระแทกสูง
      • ราคา: ราคาสูงกว่าเพลาดำ เนื่องจากกระบวนการผลิตมีความซับซ้อนกว่า

การใช้งาน:

      • เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความละเอียดและความสวยงาม เช่น
        • ชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ต้องการขนาดและความเที่ยงตรงสูง
        • แกนเพลาของมอเตอร์
        • งานกลึง งานเจียร หรือขึ้นรูปโลหะ
        • ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องกล

เปรียบเทียบระหว่างเหล็กเพลาดำและเพลาขาว

คุณสมบัติ เหล็กเพลาดำ เหล็กเพลาขาว
พื้นผิว สีดำด้าน มีคราบออกไซด์ สีเงินเงา เรียบเนียน
กระบวนการผลิต รีดร้อน (Hot Rolled) รีดเย็น (Cold Drawn)
ความแม่นยำ ไม่แม่นยำ (Tolerance สูง) แม่นยำ (Tolerance ต่ำ)
ความแข็งแรง แข็งแรงกว่าในงานหนัก แข็งแรงปานกลาง
ราคา ถูกกว่า แพงกว่า
การใช้งาน งานโครงสร้างทั่วไป งานที่ต้องการความแม่นยำ

สรุป: เลือกใช้อย่างไรดี จะเพลาดำ หรือเพลาขาวดี?

เลือกเหล็กเพลาดำ:
หากต้องการลดต้นทุนและใช้งานทั่วไป เช่น โครงสร้างหรือชิ้นส่วนที่ไม่ต้องการความละเอียด

เลือกเหล็กเพลาขาว:
หากต้องการความแม่นยำสูง สวยงาม และใช้งานที่ต้องการความเที่ยงตรง เช่น ชิ้นส่วนในงานกลึงหรือชิ้นส่วนเครื่องจักรที่มีความซับซ้อน

 

เหล็กเส้นก่อสร้าง (Construction Steel Round Bar) แบ่งเป็น เหล็กเส้นกลม และเหล็กข้ออ้อย ซึ่งมีข้อแตกต่างกันดังนี้

เหล็กเส้นกลม และ เหล็กข้ออ้อย เป็นวัสดุก่อสร้างที่สำคัญในงานคอนกรีตเสริมเหล็ก แต่มีลักษณะและคุณสมบัติแตกต่างกัน ซึ่งเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้:

 

เหล็กเส้นกลม (Round Bar หรือ RB)

 

เลือกเหล็กเส้นกลมและข้ออ้อยให้ถูกการใช้งาน

 

 

ลักษณะ:

      • เป็นเหล็กเส้นกลมเรียบ ไม่มีลาย หรือข้อยึดบนผิว
      • มีพื้นผิวเรียบและเนียน
      • ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางส่วนใหญ่มีตั้งแต่ 6 มม. ถึง 25 มม.

คุณสมบัติ:

      • มี ความยืดหยุ่นสูง และสามารถดัดโค้งได้ง่าย
      • ความสามารถในการยึดเกาะกับคอนกรีตน้อยกว่าเหล็กข้ออ้อย เนื่องจากผิวเรียบ
      • เหมาะสำหรับงานที่ไม่ได้รับแรงมาก เช่น งานก่อสร้างขนาดเล็ก

การใช้งาน:

      • ใช้ในงานคอนกรีตเสริมเหล็กทั่วไป เช่น งานโครงสร้างเสา งานพื้น หรือฐานรากขนาดเล็ก
      • ใช้ในงานก่อสร้างบ้านพักอาศัยหรือโครงสร้างขนาดเล็กที่ไม่ต้องรับแรงมาก

เหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar หรือ DB)

 

 

ข้อแตกต่างเหล็กเส้นและเส้นข้ออ้อย

 

 

ลักษณะ:

      • มีลักษณะเป็นเหล็กเส้นกลม แต่มีลาย หรือ ข้อยึด (Ribs) บนผิวของเหล็ก
      • ลวดลายบนผิวช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะกับคอนกรีต
      • มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 10 มม. ถึง 32 มม.

คุณสมบัติ:

      • ความแข็งแรงสูงกว่า และรับแรงดึงได้มากกว่าเหล็กเส้นกลม
      • มีแรงยึดเกาะกับคอนกรีตมากขึ้น เนื่องจากข้อยึดบนผิวช่วยลดการเลื่อนหลุดของเหล็กในคอนกรีต
      • มักผลิตจากเหล็กกล้าชนิดพิเศษที่ทนทานต่อแรงดึงและแรงกระแทก

การใช้งาน:

      • ใช้ในงานคอนกรีตเสริมเหล็กที่ต้องการรับแรงสูง เช่น งานเสา งานพื้น งานคาน หรือโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่
      • เหมาะสำหรับงานโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก เช่น สะพาน เขื่อน และอาคารสูง

เปรียบเทียบเหล็กเส้นกลม (RB) และเหล็กข้ออ้อย (DB)

คุณสมบัติ เหล็กเส้นกลม (RB) เหล็กข้ออ้อย (DB)
ลักษณะภายนอก ผิวเรียบ เนียน มีลายข้อยึดบนผิว
แรงยึดเกาะ ยึดเกาะกับคอนกรีตน้อย ยึดเกาะกับคอนกรีตดีมาก
ความแข็งแรง รับแรงได้น้อยกว่า รับแรงได้มากกว่า
ความยืดหยุ่น ดัดโค้งง่าย ดัดโค้งยากกว่า
การใช้งาน งานก่อสร้างขนาดเล็ก งานโครงสร้างที่รับน้ำหนักมาก
ราคา ถูกกว่า แพงกว่า

สรุป: เลือกใช้เหล็กชนิดไหน?

  1. เลือกเหล็กเส้นกลม (RB):
    • หากเป็นงานก่อสร้างขนาดเล็ก เช่น บ้านพักอาศัย งานพื้น หรือโครงสร้างที่ไม่ต้องการรองรับแรงมาก
    • เมื่อต้องการลดต้นทุนในโครงการก่อสร้าง
  2. เลือกเหล็กข้ออ้อย (DB):
    • หากเป็นงานโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น อาคารสูง สะพาน หรือโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก
    • เมื่อต้องการเพิ่มความแข็งแรงและความปลอดภัยในงานก่อสร้าง

แล้วเลือกอะไรดีระหว่างเหล็กเพลา กับเหล็กเส้นกลม??


การเลือกใช้เหล็กเส้นกลมและเพลาขาว

 

 

เหล็กเพลา และ เหล็กเส้นกลม เป็นวัสดุเหล็กที่มีลักษณะเป็นทรงกลม แต่มีคุณสมบัติและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน เนื่องจากกระบวนการผลิตและมาตรฐานที่นำมาใช้แตกต่างกัน

 

เหล็กเพลา (Shaft Steel)

ลักษณะ:

      • เป็นเหล็กกลมที่ผ่านกระบวนการ รีดเย็น (Cold Drawn Process) หรือ รีดร้อน (Hot Rolled Process)
      • พื้นผิวเรียบเนียนและมีความเงางาม (โดยเฉพาะเหล็กเพลาขาว)
      • ขนาดและความเที่ยงตรง (Tolerance) ของเส้นผ่านศูนย์กลางค่อนข้างแม่นยำ

คุณสมบัติ:

      • มีความเที่ยงตรงสูง: ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและความยาวแม่นยำเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความละเอียด
      • มีความแข็งแรง: รองรับแรงดึงและแรงกดได้ดี
      • พื้นผิวเรียบ: เหมาะสำหรับงานกลึงและขึ้นรูป

การใช้งาน:

      • ใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดและเที่ยงตรง เช่น
        • แกนเพลาสำหรับเครื่องจักร
        • ชิ้นส่วนยานยนต์
        • ชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมเครื่องกล เช่น แกนหมุน มอเตอร์ และเพลาขับ

เหล็กเส้นกลม (Round Bar หรือ RB)

ลักษณะ:

      • เป็นเหล็กกลมที่ผ่านกระบวนการ รีดร้อน (Hot Rolled Process)
      • ผิวภายนอกอาจมีคราบออกไซด์หรือไม่เรียบเนียนเท่าเหล็กเพลา
      • ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอาจมีความคลาดเคลื่อนมากกว่าเหล็กเพลา

คุณสมบัติ:

      • ต้นทุนต่ำ: ราคาถูกกว่าเหล็กเพลา
      • ความแข็งแรงปานกลาง: เหมาะกับงานที่ไม่ได้ต้องการรับแรงหรือความแม่นยำสูง
      • ยืดหยุ่นและดัดง่าย: เหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องการความซับซ้อน

การใช้งาน:

      • ใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป เช่น
        • งานเสริมแรงในคอนกรีต
        • งานโครงสร้างขนาดเล็ก
        • งานดัดโค้งสำหรับตกแต่ง

เปรียบเทียบเหล็กเพลา และเหล็กเส้นกลม

คุณสมบัติ เหล็กเพลา เหล็กเส้นกลม
กระบวนการผลิต รีดเย็น (Cold Drawn) หรือรีดร้อน รีดร้อน (Hot Rolled)
พื้นผิว เรียบเนียน (โดยเฉพาะเพลาขาว) อาจมีคราบออกไซด์หรือไม่เรียบ
ความเที่ยงตรง ขนาดแม่นยำสูง (Tolerance ต่ำ) คลาดเคลื่อนสูงกว่า
ความแข็งแรง แข็งแรงและทนทานกว่า แข็งแรงปานกลาง
ราคา สูงกว่า ถูกกว่า

สรุป: เลือกใช้เหล็กแบบไหน?

เลือกเหล็กเพลา:

    • หากงานต้องการความแม่นยำและพื้นผิวเรียบ เช่น งานกลึง งานเครื่องจักร และงานที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวหรือแรงหมุน
    • เหมาะสำหรับงานในอุตสาหกรรมที่ต้องการคุณภาพสูง

เลือกเหล็กเส้นกลม:

    • หากงานเป็นงานก่อสร้างทั่วไปที่ไม่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น งานเสริมแรงในคอนกรีตหรือโครงสร้างที่ต้องการลดต้นทุน
  1. น้ำหนักและแรงที่โครงสร้างถ่ายลงฐานราก
    • ตรวจสอบแรงดึง (tension) และแรงเฉือน (shear) ที่โบลต์ต้องรับ
  2. ชนิดของฐานราก
    • หากฐานรากเป็นปูนที่เซตตัวแล้ว ควรเลือกพุกเคมีหรือแบบขยายตัว
    • หากฐานรากยังไม่เทปูน ควรเลือก L bolt, J bolt หรือ Ibolt
  3. สภาพแวดล้อม
    หากอยู่ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือใกล้ทะเล หรือต้องการเพิ่มอายุการใช้งาน ควรเลือกเคลือบสลักเกลียวโดยส่วนใหญ่จะมี 2 ประเภทดังนี้ Zinc (Electro-Galvanized) และ HDG (Hot-Dip Galvanized) เป็นกระบวนการเคลือบผิวโลหะด้วยสังกะสีเพื่อป้องกันการกัดกร่อน (Corrosion Resistance) แต่มีความแตกต่างกันในด้านกระบวนการผลิต คุณสมบัติ และการใช้งาน ดังนี้:

Zinc (Electro-Galvanized)

 

 

การเลือกใช้เคลือบสลักเกลียวแบบZinc

 

 

กระบวนการผลิต:

      • ใช้ กระบวนการชุบไฟฟ้า (Electroplating) เพื่อเคลือบสังกะสีบนผิวโลหะ
      • ทำในอ่างสารละลายสังกะสี และใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อให้ชั้นสังกะสีเกาะติดกับพื้นผิว
      • ชั้นเคลือบสังกะสีมีความบางมาก (โดยทั่วไป 5-15 ไมครอน)

คุณสมบัติ:

      • พื้นผิวเรียบเนียนและสวยงาม: เนื่องจากชั้นสังกะสีบางและเคลือบได้สม่ำเสมอ
      • การป้องกันการกัดกร่อนปานกลาง: ชั้นสังกะสีบางกว่า ทำให้เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่แห้งหรือลักษณะการใช้งานที่ไม่ได้เผชิญกับความชื้นหรือสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
      • ความทนต่อการขูดขีดต่ำกว่า: เนื่องจากชั้นเคลือบบางกว่า จึงเกิดรอยขีดข่วนหรือหลุดร่อนง่ายกว่า HDG

การใช้งาน:

      • ใช้กับงานที่ต้องการความสวยงามและความประณีต เช่น
        • ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า
        • อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เช่น มือจับ หรือราวบันได
        • ชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น สกรู น็อต และชิ้นส่วนขนาดเล็ก

HDG (Hot-Dip Galvanized)

 

 

การเลือกใช้เคลือบสลักเกลียวHDG

 

 

กระบวนการผลิต:

      • ใช้ กระบวนการชุบร้อน (Hot-Dip Galvanizing) โดยจุ่มเหล็กลงในอ่างสังกะสีหลอมเหลวที่อุณหภูมิประมาณ 450°C
      • สังกะสีหลอมเหลวจะเคลือบผิวเหล็กและแทรกซึมเข้าไปในชั้นผิว เกิดเป็น ชั้นโลหะผสมระหว่างเหล็กและสังกะสี
      • ชั้นเคลือบสังกะสีมีความหนากว่า (โดยทั่วไป 45-100 ไมครอน หรือมากกว่า)

คุณสมบัติ:

      • ทนต่อการกัดกร่อนสูง: ชั้นสังกะสีหนาและมีการยึดเกาะที่แข็งแรง ทำให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น ความชื้น น้ำเค็ม หรือสารเคมี
      • ผิวเคลือบไม่เรียบเท่า Electro-Galvanized: มักมีรอยหยาบหรือเม็ดซิงค์ (Spangles) บนผิว
      • ความทนทานต่อการขูดขีดสูงกว่า: เนื่องจากชั้นเคลือบหนา จึงทนต่อการใช้งานหนักได้ดีกว่า

การใช้งาน:

      • ใช้ในงานที่ต้องการความทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น
        • โครงสร้างเหล็กในงานก่อสร้าง เช่น เสาไฟฟ้า หรือราวสะพาน
        • อุปกรณ์ในงานอุตสาหกรรม เช่น ถังเก็บน้ำมัน หรือถังเก็บสารเคมี
        • โครงสร้างที่อยู่กลางแจ้งหรือใกล้ทะเล เช่น ท่าเรือ หรือป้ายจราจร

เปรียบเทียบระหว่าง Zinc (Electro-Galvanized) และ HDG (Hot-Dip Galvanized)

คุณสมบัติ Zinc (Electro-Galvanized) HDG (Hot-Dip Galvanized)
กระบวนการผลิต ชุบด้วยกระแสไฟฟ้า จุ่มในสังกะสีหลอมเหลว
ความหนาของชั้นเคลือบ 5-15 ไมครอน 45-100 ไมครอน หรือมากกว่า
พื้นผิว เรียบเนียน สวยงาม มีรอยหยาบ หรือเม็ดซิงค์ (Spangles)
การป้องกันการกัดกร่อน ปานกลาง สูงมาก
ความทนทานต่อการขีดข่วน ต่ำกว่า สูงกว่า
ราคา ถูกกว่า แพงกว่า
การใช้งาน งานตกแต่งภายใน งานเล็ก ๆ งานโครงสร้างขนาดใหญ่ กลางแจ้ง

สรุป: เลือกใช้กระบวนการใด?

เลือก Zinc (Electro-Galvanized):

  • หากต้องการพื้นผิวเรียบเนียนและความสวยงาม กันสนิมได้ปานกลาง
  • สำหรับงานภายในหรืองานที่ไม่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

เลือก HDG (Hot-Dip Galvanized):

  • หากต้องการป้องกันการกัดกร่อนสูงสุด กันสนิมได้ดี
  • สำหรับงานโครงสร้างกลางแจ้งหรือใกล้ทะเลที่เผชิญความชื้นและสารเคมี

การติดตั้งสลักเกลียวกับปูน:

  1. เตรียมฐานราก
    • หากยังไม่ได้เทปูน ให้ติดตั้ง L bolt หรือ J bolt บนแม่แบบไม้ก่อนเทปูน
    • หากเป็นปูนที่เซตตัวแล้ว ให้เจาะรูและใช้พุกเคมีหรือแบบขยายตัว
  2. จัดตำแหน่ง
    • วัดระยะและปรับตำแหน่งของสลักเกลียวให้ตรงตามแบบแปลน
  3. ตรวจสอบความแน่นหนา
    • หลังจากติดตั้งและเซตตัวเรียบร้อย ให้ตรวจสอบความแข็งแรงโดยการขันน็อตและตรวจแรงยึด

รูปตัวอย่าง Jbolt, Lbolt, AnchorBolt, Ibolt และ Ubolt 

ผลิตด้วยเครื่องจักรทันสมัย โดยโรงงานคุณภาพ – หจก.เค.เจ.เวียงทอง

ผลิตเหล็กด้วยเครื่องจักร

แจกฟรี!!!  ตารางขนาดมาตรฐาน Jbolt

ตารางขนาดมาตรฐานเจโบล์ท
ตารางขนาดมาตรฐานเหล็กเพลาขาว
ตารางขนาดมาตรฐานเหล็กเพลาขาวSS400

สนใจสินค้าหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อเรา

LineID : @kj1615
Tel : 089-8977284, 086-3135913, 02-4901616, 02-4901733
Facebook : facebook.com/kj1615